ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของศิลปะ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559



                           

ชื่อ-สกุล เด็กหญิงนลินี  เกตุแก้วชื่อเล่น มะปราง
เกิดวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2546
อายุ 13ปี 1เดือน
กรุ๊ปเลือด โอ
เกิดปี มะแม

ศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์


     

   


ทัศนศิลป์

     ทัศนศิลป์  หมายถึง  ศิลปะที่รับรู้ด้วยการมองเห็น เมื่อพิจารณาความหมายที่มีผู้นิยามไว้ จะพบว่าการรับรู้เรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึกของงานทัศนศิลป์นั้น จะต้องอาศัยประสาทตาเป็นสำคัญ  นั่นคือตาจะรับรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นงานทัศนศิลป์ได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา และพื้นผิว เป็นต้น โดยศิลปะจะนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสร้างสรรค์ผลงานด้วยวิธีการเขียนภาพ ระบายสีบ้าง ปั้นและสลักบ้างหรืองานโครงสร้างเป็นต้น
      ทัศนศิลป์เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นจากการออกแบบตามธรรมชาติ หรือ สิ่งที่มนุษย์สร้างชึ้น



 

สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ก้อนหิน ต้นไม้

                                                                              

สิ่งแวดล้อมี่เกิดขึ้นจากมนุษย์ เช่น ตึก บ้าน สะพาน ถนน

     
  การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ให้เกิดคุณค่าทางศิลปะได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถ ทักษะและความคิดของศิลปินแต่ละคน งานทัศนศิลป์ที่ปรากฏให้เห็นสามารถแบ่งออกเป็น 2  ลักษณะ คือ
                          ทัศนศิลป์ 2   มิติ ได้แก่ ผลงานการเขียนภาพระบายสี
                          ทัศนศิลป์ 3  มิติ ได้แก่ ผลงานประติมากรรม  สถาปัตยกรรม
                                       
                                                                                                                               

                    ชนิดของสี                          

          สีมีอยู่ 2 ประเภท คือสีผสม กับสีที่ไม่ผสม

สีที่ไม่ผสม

  -   ดินสอสี  เป็นสีผงละเอียด ผสมกับขี้ผึ้งหรือไขสัตว์  นำมาอัดให้เป็นแท่งอยู่ในลักษณะของดินสอ เพื่อให้เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ใช้งาน มีลักษณะคล้ายกับสีชอล์ค แต่เป็นสีที่มีราคาถูก  เนื่องจากมีส่วนผสม อื่น ๆ ปะปนอยู่มาก มีเนื้อสีน้อยกว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาให้สามารถละลายน้ำ หรือน้ำมันได้ โดยเมื่อใช้ ดินสอสีระบายสีแล้วนำพู่กันจุ่มน้ำมาระบายต่อ ทำให้มีลักษณะคล้ายกับภาพสีน้ำ ( Aquarelle ) บางชนิด สามารถละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งทำให้กันน้ำได้







   - เทียนหรือสีเทียนน้ำมัน เป็นสีฝุ่นผงละเอียด ผสมกับไขมันสัตว์หรือขี้ผึ้ง แล้วนำมาอัดเป็นแท่ง มีลักษณะทึบแสง สามารถเขียนทับกันได้  การใช้สีอ่อนทับสีเข้มจะมองเห็นพื้นสีเดิมอยู่บ้าง  การผสมสีอื่น ๆใช้การเขียนทับกัน สีเทียนน้ำมันมักไม่เกาะติดพื้น สามารถขูดสีออกได้ และกันน้ำ   ถ้าต้องการให้ สีติดแน่นทนนาน จะมีสารพ่นเคลือบผิวหน้าสี  สีเทียนหรือสีเทียนน้ำมัน มักใช้เป็นสีฝึกหัดสำหรับเด็ก เนื่องจากใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และมีราคาถูก




 - สีเมจิกจะมีสารที่เป็นองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน คือ สีกับตัวทำลาย โดยสีนั้นหากใช้สีจากธรรมชาติ เช่น สีผสมอาหารจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าใช้สีย้อมผ้าที่เป็นโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว จะเป็นพิษต่อร่างกายอย่างแรง อย่างไรก็ตามบ้านเราตอนนี้พัฒนาไปมาก ไม่มีการใช้สีที่มีส่วนผสมของตะกั่วแล้ว ส่วนสารที่ใช้เป็นตัวทำละลายนั้น จะมีคุณสมบัติเป็นของเหลวที่ระเหยง่าย เพื่อว่าเวลาที่เขียนแล้วจะระเหยออกไปหมด ทิ้งไว้แต่สี โดยไม่มีการซึมเปื้อนเหมือนอย่างน้ำ ซึ่งสารดังกล่าวจะมีอยู่ด้วยกันหลายตัว อาทิ คลอโรฟอร์ม ไทรคลอโรอีเธน ทินเนอร์ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยปลอดภัยต่อร่างกายนัก สังเกตง่ายๆ คือเวลาที่เราใช้ปากกาเมจิกเขียนกระดาน พอได้กลิ่นแล้วจะรู้สึกระคายเคืองแสบจมูก บางคนอาจถึงขั้นเกิดอาการแพ้ก็มี


สีผสม

  -สีน้ำ ลักษณะเฉพาะที่เด่นของสีน้ำก็คือ ความโปร่งใส ( Transparent ) เวลาระบายใช้พู่กันแตะสีละลายกับน้ำ ระบายบนกระดาษขาว พยายามระบายไปครั้งเดียว ไม่ควรระบายสีต่างๆ ซ้ำหรือทับกันหลายหน เพราะจะทำให้สีหม่นขาดคุณสมบัติโปร่งใส และควรรักษาให้พู่กันสะอาดอยู่เสมอเมื่อต้องการเปลี่ยนสีใหม

     สีน้ำมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ เนื้อที่บดแล้วอย่างละเอียด ( Pigment ) ผสมกับกาวอารบิค ซึ่งสกัดมาจากต้นอะคาเซีย ( Acacia tree ) กาวชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ละลายน้ำง่ายและเกาะติดกระดาษแน่น ทั้งยังมีลักษณะโปร่งใสอีกด้วย





  - สีโปสเตอร์  เป็นสีชนิดสีฝุ่น (Tempera) ที่ผสมกาวน้ำบรรจุเสร็จเป็นขวด  การใช้งานเหมือน กับสีน้ำ คือใช้น้ำเป็นตัวผสมให้เจือจาง สีโปสเตอร์เป็นสีทึบแสง มีเนื้อสีข้น สามารถระบายให้มี เนื้อเรียบได้ และผสมสีขาวให้มีน้ำหนักอ่อนลงได้เหมือนกับสีน้ำมัน หรือสีอะครีลิค สามารถระบายสีทับกันได้  มักใช้ในการวาดภาพ ภาพประกอบเรื่อง ในงานออกแบบ ต่างๆ ได้สะดวก ในขวดสีโปสเตอร์มีส่วนผสมของกลีเซอรีน จะทำให้แห้งเร็ว



เส้น และรูปร่างรูป

เส้น เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของงานศิลปะ เมื่อมองดูธรรมชาติรอบๆตัวจะพบว่า ภาพที่เห็นล้วนแต่ประกอบด้วยเส้นชนิดต่างๆและเส้นเหล่านั้นยังให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
เช่น 
    

 1. เส้นตั้ง หรือ เส้นดิ่ง ให้ความรู้สึกทางความสูง สง่า มั่นคง แข็งแรง หนักแน่นเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อตรง

      2. เส้นนอน ให้ความรู้สึกทางความกว้าง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผ่อนคลาย

      3. เส้นเฉียง หรือ เส้นทะแยงมุม ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่มั่นคง

      4. เส้นหยัก หรือ เส้นซิกแซก แบบฟันปลา ให้ความรู้สึก คลื่อนไหว อย่างเป็นจังหวะ มีระเบียบ ไม่ราบเรียบ น่ากลัว อันตราย ขัดแย้ง ความรุนแรง
      5. เส้นโค้ง แบบคลื่น ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ลื่นไหล ต่อเนื่อง สุภาพอ่อนโยน นุ่มนวล
      6. เส้นโค้งแบบก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว คลี่คลาย หรือเติบโตในทิศทางที่หมุนวนออกมา ถ้ามองเข้าไปจะเห็นพลังความเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด
      7. เส้นโค้งวงแคบ ให้ความรู้สึกถึงพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง การเปลี่ยนทิศทางที่รวดเร็ว ไม่หยุดนิ่ง
      8. เส้นประ ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่อเนื่อง ขาด หาย ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความเครียด





รูปร่างและรูปทรง
รูปร่างในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เรามองเห็นได้รอบๆตัวเรา มีรูปร่างแตกต่างกันไป รูปร่างเป็นลักษณะระนาบแบน 
2มิติ มีความกว้างกับความยาว เกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขต โดยแบ่งออกเป็น 2

รูปร่างในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เรามองเห็นได้รอบๆตัวเรา มีรูปร่างแตกต่างกันไป รูปร่างเป็นลักษณะระนาบแบน 
2มิติ มีความกว้างกับความยาว เกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขต โดยแบ่งออกเป็น 2
ลักษณะ คือ1.
 รูปร่างเรขาคณิต เป็นรูปร่างที่มีโครงสร้างแน่นอนเกิดจากการสร้างของมนุษย์สามารถระบุชื่อเรียกได้ ซึ่งพบเห็นในชีวิตประจำวัน เช่น รูปร่างสามเหลี่ยม รูปร่างสี่เหลี่ยม รูปร่างวงกลม เป็นต้น

2.
รูปร่างอิสระ เป็นรูปร่างที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถระบุชื่อเรียกได้ชัดเจน เช่น รูปร่างของใบไม้ ก้อนเมฆ ถุงเท้า เป็นต้น



      -รูปทรงในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รูปร่างที่เรามองเห็นในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีลักษณะต่างกันไป โดยรูปร่างมีลักษณะเป็น 
3มิติ นอกจากแสดงความกว้าง ความยาวแล้ว ยังมีความลึก หรือความหนาทำให้รูปทรงมีลักษณะสวยงาม และสมจริงมากกว่ารูปร่าง รูปทรงแบ่งออกเป็น 2
 ลักษณะ คือ1.รูปทรงเรขาคณิต เป็นรูปทรงที่มีโครงสร้างแน่นอนสามารถระบุชื่อเรียกได้ เช่น
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงกระบอก ทรงกลม พีระมิด กรวย 
   2.รูปทรงอิสระ เป็นรูปทรงที่มีโครงสร้างไม่แน่นนอน มีทั้งเกิดขึ้นตามธรรมชาติและเกิขึ้นจากมนุษย์สร้างขึ้น เช่น รูปทรงของสัตว์ต่างๆ รูปทรงก้อนหิน รูปทรงรองเท้า


รูปทรงอิสระของสัตว์
รูปทรงของสัตว์



รูปทรงอิสระของ ก้อนหิน


-ขอบคุณที่เข้ามารับชมคะ-